
มะเร็งเต้านม
มะเร็งเต้านม หรือ Breast cancer เป็นหนึ่งใน โรคมะเร็ง ที่พบเป็นอันดับ 2 รองจาก มะเร็งปากมดลูก ในหญิงไทย วันนี้เราไปรู้จักโรค มะเร็งเต้านม กัน

เดิมเชื่อกันว่า สาเหตุหลักของการเกิด มะเร็งเต้านม มาจากพันธุกรรม แต่ปัจจุบันพบว่า ผู้ที่ป่วยเป็น มะเร็งเต้านม จากพันธุกรรม มีเพียง 4-6% เท่านั้น ซึ่งสาเหตุที่แท้จริง ที่ทำให้เกิด มะเร็งเต้านม ก็คล้ายกับสาเหตุที่ทำให้มะเร็งชนิดอื่น ๆ คือ เกิดจากการทำปฏิกิริยา Oxidation ของเซลล์ต่าง ๆ ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ (Free Radicals) ขึ้น และเกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางพันธุกรรมขึ้นที่ DNA ของเซลล์ ทำให้เซลล์ในอวัยวะนั้น ๆ มีการทำงานที่ผิดปกติ ทำให้เกิดการแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง เนื้อแดง รวมทั้งฮอร์โมนเพศหญิง












ทั้งนี้ มะเร็งเต้านม พบได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่พบในผู้ชายในอัตราที่น้อยมาก

ผู้ที่เป็น มะเร็งเต้านม ในระยะแรก จะไม่มีอาการเจ็บปวดใด ๆ จนเมื่อก้อนมะเร็งโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จะเกิดอาการ คือ






หากใครพบอาการเหล่านี้ คุณอาจเสี่ยงต่อการเป็น มะเร็งเต้านม ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

มะเร็งเต้านม แบ่งออกเป็น 5 ระยะ คือ






วิธีการวินิจฉัย มะเร็งเต้านม ทำโดยการเอ็กซเรย์เต้านม หรือแมมโมแกรม และใช้วิธีการตรวจอัลตราซาวน์ คือ การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง ซึ่งได้ผลดีที่สุด โดยเฉพาะกับก้อนที่มีขนาดเล็ก หรืออยู่ลึก จนคลำไม่ได้ และเมื่อตรวจพบก้อน มะเร็งเต้านม แล้ว แพทย์จะประเมินการแพร่กระจายของมะเร็ง ว่าจะลุกลามไปยังที่อื่น เช่น ต่อมน้ำเหลือง ปอด กระดูก หรือไม่ ซึ่งผู้ป่วยต้องถ่ายภาพรังสีทรวงอก อัลตราซาวน์ตับ และตรวจกระดูกชนิดสแกน ด้วยเภสัชรังสี

บางครั้งก้อนที่เต้านม อาจไม่ใช่เนื้อร้าย หรือ มะเร็งเต้านม เพราะก้อนนั้น อาจมีสาเหตุมาจากโรคต่าง ๆ คือ




การรักษา มะเร็งเต้านม ทำได้ทั้ง การผ่าตัด การฉายรังสี การให้ยาเคมีบำบัด รวมทั้งการให้ฮอร์โมนรักษา แต่โดยปกติแพทย์จะเลือกวิธีการรักษาตามลำดับความเหมาะสม เพื่อให้ได้ผลการรักษาดีที่สุด โดยคำนึงถึง วัย ภาวะประจำเดือน สุขภาพทั่วไป ขนาดของเซลล์มะเร็ง ตำแหน่งของก้อนมะเร็ง รวมทั้งระยะของมะเร็งเต้านม ที่เป็นอยู่



ทั้งนี้ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ได้รับการรักษาโดยการผ่าตัด บางกรณีจำเป็นต้องได้รับการรักษาเสริมเพื่อหวังผลให้ หาย หรือมีชีวิตยืนยาวขึ้น ด้วยการฉายรังสีรักษา การให้ยาเคมีบำบัด และการให้ฮอร์โมนรักษา ซึ่งการรักษาแบบผสมผสานดังกล่าวเป็นวิธีการรักษาที่ได้ผลดี อันจะสามารถช่วยให้ผู้ป่วยหายจากโรคหรือมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นได้
ผลข้างเคียงของการรักษา ด้วยการผ่าตัด นอกจากจะมีอาการเจ็บปวดแล้ว อาจมีการติดเชื้อ หรือแผลหายช้า จะรู้สึกตึง ๆ หน้าอก บริเวณแขนข้างที่ผ่าตัดจะมีแรงน้อยลง และมีอาการชา บวม อีกทั้งการตัดเต้านมไปข้างหนึ่งอาจทำให้เสียสมดุลทำให้ปวดหลัง คอ

เป็นการใช้รังสีเพื่อฆ่าหรือหยุดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยทั่วไปให้ 5 วันต่อสัปดาห์ติดต่อกัน 5-6 สัปดาห์ บางครั้งอาจให้รังสีรักษา เคมีบำบัด หรือให้ฮอร์โมนก่อนการผ่าตัดเพื่อให้ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กลง ง่ายต่อการผ่าตัด
ผลข้างเคียง คือ มีอาการอ่อนเพลีย ผิวหนังแห้ง แดง เจ็บ คัน และควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้เครื่องสำอาง

วิธีเคมีบำบัด จะใช้ยาฉีด หรือยากิน มาฆ่ามะเร็ง มักจะให้ระยะหนึ่งแล้วหยุด โดยจุดประสงค์ของการให้ เพื่อป้องกันมะเร็งกลับเป็นซ้ำหลังการผ่าตัด รวมทั้งลดขนาดของก้อนมะเร็งก่อนผ่าตัด และควบคุมโรคในรายที่มะเร็งแพร่กระจายไปที่อวัยวะอื่น
ผลข้างเคียง คือ ผู้ป่วยอาจผมร่วง เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน มีภาวะซีด เม็ดเลือดขาวต่ำ เกร็ดเลือดต่ำทำให้เหนื่อยง่าย ติดเชื้อง่าย และเลือดออกง่าย อีกทั้งอาจเป็นหมันได้

เป็นให้ฮอร์โมนเพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง จะใช้ในรายที่ให้ผลบวกต่อฮอร์โมนเอสโตรเจน หรือ progesterone receptor ผลข้างเคียงของการรักษาวิธีนี้ คือ ผู้ป่วยจะมีอาการ วูบวาบ ตั้งครรภ์ง่าย คันช่องคลอด น้ำหนักเพิ่ม ตกขาว ดังนั้นจึงควรตรวจภายในทุกปีและรายงานแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ

ตรวจ มะเร็งเต้านม

ผู้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป ควรเริ่มตรวจเต้านมด้วยตนเอง เพื่อหา มะเร็งเต้านม โดยควรทำทุกเดือน ตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยสูงอายุ ทั้งนี้เวลาที่ดีที่สุดในการตรวจหา มะเร็งเต้านม คือ หลังหมดประจำเดือนแล้ว 7-10 วัน เนื่องจากช่วงนั้นเต้านมจะไม่คัดตึง จึงตรวจพบได้ง่าย โดย วิธีการตรวจ มะเร็งเต้านม ต้องบิดลำตัวไปทั้งทางซ้ายและขวา สังเกตรูปร่าง ลักษณะ ความผิดปกติของผิวหนัง รอยบุ๋ม รอยนูน หรือความผิดปกติอื่น ๆ ของเต้านม โดยมีท่าคือ
1.ยืนหน้ากระจก




2.นอนราบ




3.ขณะอาบน้ำ



ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการป้องกัน มะเร็งเต้านม อย่างแน่นอน แต่มีหลายปัจจัยที่จะช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิด มะเร็งเต้านม ได้ คือ







